01 ส.ค. 2568
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นมลพิษทางอากาศในกรุงเทพฯ และเป็นภัยร้ายในอีกหลายจังหวัดของประเทศ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักของมลพิษนี้ เกิดมาจากหลายสาเหตุ ทั้งการจราจร การก่อสร้าง กิจกรรมทางอุตสาหกรรม รวมถึงการเผา ทำให้หลายพื้นที่มีค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน ดังนั้น การพัฒนาเมืองยั่งยืน พร้อมระบบการจัดการที่รองรับสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของคนเมือง จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้
ศึกษาอันตราย ! ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาที่ห้ามละเลย
แม้หลายคนจะได้ยินชื่อฝุ่น PM 2.5 หรือ Particulate Matter ขนาด 2.5 ไมครอน กันมาบ่อยครั้ง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรคุ้นชิน เนื่องจาก PM 2.5 เป็นฝุ่นละอองที่เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์ถึง 20 เท่า จึงสามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและกระแสเลือดได้อย่างง่ายดาย หากสูดดมเข้าไปในปริมาณมากและเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้
โรคระบบทางเดินหายใจ
ฝุ่นขนาดเล็กสามารถเข้าไปเกาะอยู่ภายในหลอดลมและถุงลมปอด ก่อให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรัง เพิ่มโอกาสเกิดโรค เช่น หอบหืดเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ หรือภาวะถุงลมโป่งพอง โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคภูมิแพ้หรือโรคปอดมาก่อน ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการกำเริบของอาการ
โรคหัวใจและหลอดเลือด
การสัมผัส PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) โดยกลไกคือฝุ่นจะทำให้เกิดภาวะอักเสบในหลอดเลือด ซึ่งส่งผลให้เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดเร็วขึ้น เพิ่มโอกาสในการเกิดลิ่มเลือด
อาการอ่อนเพลียและปวดศีรษะ
แม้ผู้ที่ยังไม่ป่วย ก็สามารถได้รับผลกระทบจาก PM 2.5 ได้ผ่านอาการเรื้อรัง เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรืออาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง ซึ่งล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน การเรียนรู้ รวมถึงสุขภาพจิตในระยะยาว
ค่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ค่าฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยมีสาเหตุหลัก ได้แก่
กรุงเทพฯ มีปริมาณรถยนต์จดทะเบียนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ และยังคงมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าและเย็น ซึ่งรถจำนวนมากจะติดค้างอยู่บนถนนเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเผาไหม้เชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่องและปล่อยควันเสียออกสู่ชั้นบรรยากาศ
การพัฒนาเมือง เช่น การสร้างถนน รถไฟฟ้า อาคารสำนักงาน รวมถึงโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ล้วนต้องอาศัยการขุดเจาะและเคลื่อนย้ายวัสดุก่อสร้าง ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สร้างฝุ่นละอองขนาดเล็กจำนวนมาก หากไม่มีมาตรการควบคุมฝุ่นที่เข้มงวด ฝุ่นจากพื้นที่ก่อสร้างจะกระจายสู่ถนนและพื้นที่ใกล้เคียง กลายเป็น PM 2.5 ที่ปกคลุมเมืองอย่างต่อเนื่อง
ค่าฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ มักพุ่งสูงขึ้นในช่วงปลายปีถึงต้นปี โดยเฉพาะระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ซึ่งตรงกับฤดูหนาวของประเทศไทย เพราะลักษณะของ “อากาศปิด” ในฤดูนี้ คืออุณหภูมิพื้นดินต่ำกว่าชั้นบรรยากาศด้านบน ทำให้ฝุ่นละอองไม่สามารถลอยตัวขึ้นไปได้และไม่มีลม หรือฝนช่วยพัดพาออกจากเมือง จึงเกิดการสะสมตัวของฝุ่นในระดับอันตราย
วัน แบงค็อก (One Bangkok) พื้นที่ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด “เมืองยั่งยืน”
ในยุคที่โลกเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะโลกร้อน มลพิษทางอากาศ หรือฝุ่น PM 2.5 การพัฒนาเมืองในแบบเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คนอีกต่อไป วัน แบงค็อก (One Bangkok) จึงเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเมืองที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด “เมืองยั่งยืน” (Sustainable City) เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น
ออกแบบภูมิทัศน์พื้นที่สีเขียวกว่า 50 ไร่ เพื่อลดฝุ่นและเพิ่มคุณภาพชีวิต
วัน แบงค็อก (One Bangkok) สร้างความแตกต่างด้วยการจัดสรรพื้นที่สีเขียวกว่า 50 ไร่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เมืองร่มรื่นน่าอยู่ แต่ยังมีบทบาทสำคัญ ในการช่วยดักจับและกรองฝุ่น PM 2.5 ผ่านการปลูกต้นไม้และไม้พุ่มขนาดใหญ่
ใช้พลังงานสะอาดและลดของเสียจากการก่อสร้าง
ความยั่งยืนของ วัน แบงค็อก (One Bangkok) ไม่ได้หยุดอยู่แค่การปลูกต้นไม้ แต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรตลอดวงจรการพัฒนาพื้นที่ ดังนี้
สร้างอาคารส่งเสริมสุขภาพ
ในขณะที่อาคารส่วนใหญ่ในเมืองเน้นความสูง หรือความหรูหราเป็นหลัก อาคารภายใน วัน แบงค็อก (One Bangkok) ได้รับการออกแบบให้คำนึงถึงสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้งานเป็นหัวใจสำคัญ
วัน แบงค็อก (One Bangkok) สร้างมาตรฐานใหม่สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ โดยผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพื่อสร้างเมืองยั่งยืนสำหรับทุกคน เยี่ยมชม วัน แบงค็อก (One Bangkok) เมืองที่ให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นศูนย์กลาง ได้แล้ววันนี้
ข้อมูลอ้างอิง
ผลกระทบต่อร่างกายจากฝุ่น PM2.5. สืบค้นเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 จาก https://erdi.cmu.ac.th/?p=3419
แท็ก
แชร์