ไหน้ำปลาและเศษกระเบื้องมากมายที่ขุดค้นเจอในพื้นที่ โครงการ วัน แบงค็อก คือจุดตั้งต้นของผลงานเซรามิกชิ้นนี้

วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ศิลปินศิลปาธร สาขาการออกแบบ ประจำปี 2553 ผู้สร้างสรรค์ผลงาน PintONE (ปิ่นโทน) หยิบยกเรื่องราวของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่หลากหลายและต่างที่มา เปรียบเข้ากับกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลให้บางเรื่องราวอาจถูกลืมไป ปิ่นโทน จึงเป็นการรื้อฟื้นความทรงจำบางส่วนที่ถูกทับถม ให้ปรากฏชัดเจนอีกครั้ง โดยคำว่า ‘โทน’ มาจากคำว่า ‘Ton’ ในภาษาเยอรมันที่แปลว่า ‘ดิน’ (พหูพจน์ของ Ton คือ Tone)

ศิลปินเลือกใช้รูปทรงของปิ่นโตเพื่อสื่อความหมายถึงการกลับมารวมตัวกันของผู้คนทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยทำสีเคลือบในแต่ละชั้นของปิ่นโทน ให้ใกล้เคียงกับเศษกระเบื้องของโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบระหว่างการก่อสร้างโครงการ วัน แบงค็อก รวมถึงสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ ๆ จากการจินตนาการต่อจากเศษเสี้ยวของลวดลายเดิม และเพิ่มเติมเรื่องราวในปัจจุบันเข้าไป เพื่อบันทึกทั้งเรื่องราวของสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ให้คงอยู่ร่วมกันอย่างงดงามลงตัว ราวกับเป็นการเริ่มต้นบันทึกความทรงจำครั้งสำคัญของพื้นที่บริเวณนี้ ที่จะส่งมอบสู่วันข้างหน้าต่อไป

ชวนก้าวลงไปสำรวจอดีตและเดินหน้าสู่ปัจจุบัน ผ่านบทสัมภาษณ์ของวศินบุรี ที่ว่าด้วยเรื่องราวของไหน้ำปลา ปิ่นโต เศษชิ้นส่วนของภาชนะ ดิน แรงบันดาลใจเบื้องหลังของ PintONE และการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่ง 

 

PintONE

PintONE

01 เถ้าฮงไถ่ โรงงานผลิตไหน้ำปลาแห่งแรกของไทย

 

ย้อนกลับไปหลายสิบปีที่แล้ว สินค้าขึ้นชื่อของจังหวัดราชบุรีอย่างโอ่งมังกรและไหน้ำปลาจะถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ วศินบุรี เท้าความถึงการบุกเบิกกิจการในยุคอากงว่า ในอดีตความต้องการภาชนะดินเผาในไทยสูงมาก สวนทางกับปริมาณการนำเข้าที่ไม่เพียงพอ อาจจะเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การคมนาคม หรือภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในแผ่นดินใหญ่

“อากงของผมเป็นชาวจีนโพ้นทะเลอพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่เมืองไทย ก็มองเห็นโอกาสในการทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อทดแทนการนำเข้า”

อาจจะเป็นทั้งความบังเอิญ ผสมปนเปกับโชคชะตา เมื่ออากงและเพื่อนพ้องได้เดินทางมาท่องเที่ยวที่จังหวัดราชบุรี และพบกับแหล่งดินตามร่องสวนคันนาซึ่งดูลักษณะแล้วมีความเหนียวที่เหมาะสม ก็ถือโอกาสนำกลับมาทดลองปั้นและขึ้นรูปเป็นภาชนะ พอนำไปเผาก็ยิ่งมองเห็นความเป็นไปได้ เลยชวนกันมาตั้งรกรากที่จังหวัดราชบุรี และเกิดเป็นโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาสำหรับไหน้ำปลาและโอ่งมังกรแห่งแรกของประเทศไทยขึ้นมา

 

 

PintONE

 

ในยุคแรก เถ้าฮงไถ่ ผลิตเครื่องปั้นดินเผาประเภทภาชนะโดยเน้นไปที่ไหน้ำปลาและโอ่งมังกร ซึ่งใช้แหล่งดินพื้นบ้านในจังหวัดราชบุรีเป็นหลัก พอกิจการครอบครัวสืบทอดมาสู่ยุคที่ 2 ก็มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทั้งประเภทของผลิตภัณฑ์ และวัตถุดิบตามความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

“พอคุณพ่อเข้ามาสืบทอดกิจการ ปริมาณความต้องการโอ่งมังกรเริ่มลดน้อยลง สมัยหนึ่งจะมีคนพูดว่าบ้านไหนรวยให้ดูที่จำนวนโอ่งมังกรที่มากพอให้มีน้ำใช้ตลอดปี แต่พอเวลาผ่านไปความจำเป็นก็เริ่มลดน้อยลง กรมชลประทาน การประปา หรือถังซีเมนต์ขนาดใหญ่ได้เข้ามาแทนที่ แล้วลูกค้าหลัก ๆ ของเราในช่วงเวลานั้นอย่างโรงงานน้ำปลาก็หันมาใช้พลาสติกแทน เพราะแก้ไขปัญหาเรื่องการขนส่งแบบดั้งเดิมได้ดี กระเทาะกระแทกก็ไม่รั่วซึม เราก็เลยต้องมองหาผลิตภัณฑ์ทางเลือกอื่น เพราะไหน้ำปลาและโอ่งมังกรตอนนั้นคือเป็น sunset industry กำลังจางหายไปแล้ว”

รุ่นที่ 3 แห่งเถ้าฮงไถ่ บอกว่าคุณพ่อแก้เกมด้วยการพัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์ให้มีสีสันที่หลากหลายมากขึ้น หาดินจากแหล่งอื่นอย่างเชียงใหม่หรือลำปางเข้ามาเสริม มีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาหลากหลายรูปแบบร่วมกันทั้ง stoneware ซึ่งเซรามิกที่ทำจากดินเหนียวมักใช้กับเครื่องใช้ในครัว หรือ porcelain ซึ่งขึ้นรูปจากดินขาวมักใช้กับงานที่ต้องการความประณีตมากขึ้น ซึ่งหลายโรงงานในเวลานั้นอาจจะเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง จากที่เน้นการใช้งานเป็นหลักเหมือนรุ่นของอากง ก็ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและการตกแต่งด้วย

 

PintONE

 

สำหรับวศินบุรี ได้เกิดและเติบโตในโรงงานเครื่องปั้นดินเผา ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่เยอรมัน เริ่มเรียนรู้และหลงไหลในศาสตร์เซรามิก และตัดสินใจกลับมาที่ราชบุรีเพื่อลงมือทำงานศิลปะในแบบที่ตนเองชื่นชอบ

“เถ้าฮงไถ่เหมือนกับความทรงจำ เป็นสถานที่วิ่งเล่น เป็นความสุขและเป็นสถานที่ที่เรารู้สึกปลอดภัย ต้องบอกว่าตอนยังเด็กเราไม่ได้ชอบงานเครื่องปั้นดินเผา แม่ก็เคยถามว่าอยากไปทำอาชีพอื่นไหมที่ไม่ต้องเหนื่อยเหมือนกับเตี่ยและอากง แต่ว่ามันก็เป็นเหมือนกับพันธะผูกพันกับความทรงจำของเรา ก็เลือกตอบแม่ไปว่าแล้วใครจะทำต่อ คิดว่าตอนนั้นเราอาจจะตอบเอาเท่ และรู้สึกกลัวว่าพื้นที่ที่เป็นความสุขของเราจะจางหายไป”

“ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เรายังไม่เจอตัวตนหรือว่าเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ แต่ช่วงเวลาที่ไปอยู่เยอรมันทำให้เรารู้สึกว่าที่จริงแล้ว ความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองไม่ได้สนใจงานศิลปะหรือเครื่องปั้นดินเผานั้นไม่ใช่เลย เราแค่ยังไม่เจอสิ่งที่ชอบ สิ่งที่สามารถสนุกไปกับมันได้ หลังจากวันนั้นก็รู้สึกอยากกลับมาสานต่อกิจการของครอบครัวและรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป”

จากไหน้ำปลารุ่นแรก ผลิตภัณฑ์ของเถ้าฮงไถ่ ยังคงเปี่ยมด้วยคุณภาพและถูกเพิ่มเติมด้วยรูปแบบที่หลากหลาย วศินบุรี ตั้งใจหยิบศิลปะรูปแบบต่าง ๆ ทั้งประติมากรรม และงานประดับตกแต่งต่าง ๆ มาใช้กับเครื่องปั้นดินเผาที่เขาผูกพัน

หลังจากนั้นเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย วศินบุรี  สุพานิชวรภาชน์ ได้รับรางวัลศิลปาธร สาขาการออกแบบ ในปี พ.ศ. 2553 ประติมากรรม ‘ไอ้จุด’ ทั้งใหญ่เล็กเดินทางไปแสดงตัวมากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ เถ้าฮงไถ่ เปิดเตาผลิตผลงานดินเผามากหมายหลากหลายรูปแบบจนยากที่เราจะจินตนาการได้ครบ ราชบุรีเปลี่ยนจากเมืองทางผ่านเป็นจุดหมายปลางทางด้านศิลปะ วศินบุรี ก่อตั้งหอศิลป์ดีคุ้น (d Kunst Art Space and Café) เผยแพร่ความรู้เรื่องเครื่องปั้นดินเผาที่ตนเองถนัด และทำงานศิลปะมาอย่างต่อเนื่อง

 

PintONE

02 จากไหน้ำปลาราชบุรีสู่ประติมากรรมร่วมสมัย

 

อีกฟากฝั่งหนึ่ง ย้อนกลับไปราวปี พ.ศ. 2560 ฝ่ายศิลปะและวัฒนธรรมโครงการ วัน แบงค็อก ได้ทำงานร่วมกับกรมศิลปากร นักโบราณคดี สถาปนิกอนุรักษ์ ในการขุดค้นร่องรอยที่หลงเหลือของ ‘สถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดง’ เพื่อปฏิสังขรณ์ (reconstruct) ตัวอาคารของสถานีวิทยุโทรเลขแห่งให้กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ในระหว่างการขุดค้น มีการค้นพบชิ้นส่วนโบราณสถานและโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่ามากมาย ทั้งฐานอาคารของสถานีวิทยุโทรเลขอายุกว่า 100 ปี ฉนวนแก้ว ร่องรอยการใช้ชีวิตของผู้คนในบริเวณถนนวิทยุ - พระรามที่ 4 ทั้งเบี้ยการพนัน ถ้วยชามจำนวนมาก และชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดเรื่องราวตามมามากมายคือ เศษชิ้นส่วนไหน้ำปลา สีน้ำตาลเข้ม มีการเซาะร่องทำลวดลาย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีที่มาจากจังหวัดราชบุรี

“น้อง ๆ เอาชิ้นส่วนของไหน้ำปลาที่ขุดเจอมาถามว่า ความเป็นไปได้ในการผลิตน่าจะมาจากที่ไหน พอเราดูปุ๊ปเนี่ย อย่างแรกที่เห็นคือสีเคลือบซึ่งของจีนกับไทยจะมีความแตกต่างกันชัดเจน ก็คิดว่าน่าจะมาจากจังหวัดเรานี่แหละ พอให้เตี่ยที่เป็นตัวเชื่อมตั้งแต่รุ่นแรกมาถึงปัจจุบัน ก็บอกว่าเป็นลักษณะสีเคลือบของจังหวัดราชบุรีแน่ ๆ”

 

 

PintONE

PintONE

 

สำหรับการปฏิสังขรณ์สถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดงขึ้นมาใหม่ นอกจากหน้าตาอาคารที่เหมือนแบบดั้งเดิมทั้งหมด ด้านในได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากกิจการสถานีวิทยุโทรเลขในอดีต มาจัดทำเป็นนิทรรศการเล่าเรื่องสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทย และเรื่องราวในพื้นที่ถนนวิทยุ-พระรามที่ 4 ในแบบร่วมสมัย โดยตั้งชื่อใหม่ว่า เดอะ ไวร์เลส เฮาส์ วัน แบงค็อก ซึ่งหนึ่งในโจทย์ของนิทรรศการถาวรคือการจัดแสดงผลงานศิลปะสาธารณะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่และมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องราวของนิทรรศการ

“ไหน้ำปลาคือความจำเป็นของช่วงเวลาหนึ่ง เป็นทางเลือกเดียวในการนำน้ำปลาไปใช้ในพื้นที่อื่น สำหรับเราไหน้ำปลาเป็นตัวแทนของภาชนะ เป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เกิดการรวมตัวกัน ยิ่งพอมีโอกาสคุยกับทีมแล้วพบว่าในการขุดค้นทางโบราณคดียังพบเศษชิ้นส่วนวัสดุอื่น ๆ มากมาย มีภาชนะหลากหลายที่มีความน่าสนใจ ก็ยิ่งตอกย้ำว่ามันเป็นเรื่องของการที่ในช่วงเวลาหนึ่งมีคนจำนวนมากได้มารวมตัวกันในที่แห่งนี้”

“เรามองว่าสิ่งเหล่านี้คือความทรงจำของหมู่มวลมนุษย์ที่เคยเกิดขึ้นและถูกหลงลืมไป แล้วถูกนำกลับมารื้อฟื้น นำสิ่งที่เลือนหายไปให้กลับมาชัดเจนอีกครั้ง เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเรามองว่าเรื่องราวของพื้นที่ไม่ใช่แค่ไหน้ำปลาอีกต่อไปแล้ว ก็เลยมองว่าเราน่าจะทำออกมาเป็นภาชนะอะไรสักอย่าง สารภาพเลยว่าในตอนแรกด้วยความเป็นวศินบุรี ตั้งใจไว้ว่าผลงานที่ออกมาจะต้องดูทันสมัย โมเดิร์น แต่พอเราอยู่กับสิ่งเหล่านี้นานขึ้น ความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไป”

ความรู้สึก ความทรงจำ ต่อเหตุการณ์ครั้งเยาว์วัยฝังลึกอยู่ในศิลปินถิ่นราชบุรี เขาย้อนความให้ฟังถึงการล้อมวงกินข้าวกับเพื่อนที่โรงเรียน ความตื่นเต้นเล็ก ๆ ที่จะได้ลุ้นเมนูของแต่ละบ้าน วันที่รสชาติความอร่อยเป็นเรื่องรอง แต่ความสนุกสนานนำหน้ามาก่อนเสมอ

วศินบุรี ใช้เวลาตกตะกอนความคิด ก่อนจะตัดสินใจเลือกรูปทรง ‘ปิ่นโต’ มาใช้กับผลงานศิลปะชิ้นนี้

“ถ้าทำภาชนะที่ล้ำสมัยไปเลย เราสงสัยว่าในอนาคตมันจะคงอยู่ได้หรือเปล่า แต่กลับกันพอนึกถึงปิ่นโต ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่จะพูดกันเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องขยะอะไรกันมากขึ้นเหมือนสมัยนี้ ก็ยังถูกหยิบมาใช้และอยู่ในชีวิตของพวกเรามาตลอด”

“ในอนาคตเรื่องสิ่งแวดล้อมอะไรคงมีความกังวลมากขึ้นอยู่แล้ว แทนที่เราจะออกแบบภาชนะอะไรก็แล้วแต่โดยตั้งต้นจากแนวคิดที่นำความทรงจำมาผสมผสาน ทำไมเราไม่ทำภาชนะที่เป็นเรื่องราวตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และสามารถส่งต่อไปยังอนาคตอย่างปิ่นโตมาต่อยอด”

 

PintONE

PintONE

03 แกะลวดลาย จุดประกายความทรงจำ

 

ชิ้นส่วนของเบญจรงค์ที่ไม่สมบูรณ์ เครื่องเคลือบดินเผาที่แตกบิ่นเหลือลวดลายเพียงปลายกิ่งไม้ เศษเสี้ยวของตัวอักษรจีนสีน้ำเงินที่เริ่มซีดจาง และภาชนะอีกหลายชิ้น เชื้อเชิญศิลปินให้ต่อเติมจินตนาการ วศินบุรีเริ่มกระบวนการค้นคว้าเพื่อศึกษาลวดลายในอดีต เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำงานให้มากที่สุด

“หลาย ๆ ครั้งความท้าทายสำหรับ PintONE ไม่ได้อยู่ที่จินตนาการเพียงอย่างเดียว เพราะผลงานชิ้นนี้ต้องมีการค้นคว้าเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งกระบวนการนี้เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาว่า ความน่าจะเป็นของลวดลายที่อยู่บนภาชนะที่เสียหายคืออะไร มีการพูดคุยกับนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีที่มีความเชี่ยวชาญภาษาจีน ตั้งสมมติฐานร่วมกัน เอาความน่าจะเป็นนี้มาจินตนาการต่อให้เกิดชิ้นงานที่สมบูรณ์”

 

 

PintONE

 

จากเพียงเศษเสี้ยว แตกกิ่งก้านสาขากลับมาปกคลุม ต้นไม้เติบโตมั่นคง ลายเส้นแฝงความปลิวไสวและหยั่งรากลึก ใบไม้ผลิบาน สีสันเปล่งประกาย สรรพสัตว์กลับมามีที่มีทางเป็นของตนเองอีกครั้งบนลวดลายของปิ่นโต

“เลือกภาชนะที่รู้สึกว่าชอบ และสามารถต่อยอดจินตนาการต่อไปได้ และหลาย ๆ ครั้งก็ไม่ได้อยากนำแค่ความทรงจำกลับมา แต่อยากทำเรื่องราวร่วมสมัย ณ ปัจจุบัน ให้ส่งต่อและต่อยอดไปถึงอนาคตได้ด้วย อย่างเช่นมีลายหนึ่ง ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ มีฐานเกาะดินอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งปกติของเครื่องปั้นดินเผาจีนโบราณจะมีการบันทึก บอกเล่าเรื่องราวของสถานที่และภูมิทัศน์ในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว แต่เราอยากต่อยอดเข้าไปด้วย ใส่ช่วงเวลาปัจจุบัน และใส่ความสนุกสนานเพิ่มเติมเข้าไป”

 

PintONE

 

ทายาทรุ่นที่ 3 โรงงานเครื่องปั้นดินเผาเถ้าฮงไถ่ บอกว่าการทำงานครั้งนี้ไม่ได้ต้องการเพียงนำความทรงจำกลับมาเท่านั้น แต่อยากจะส่งต่อเรื่องราวของปัจจุบัน และต่อยอดไปถึงอนาคตด้วย วศินบุรี จึงเลือกเติมลวดลายของถนนวิทยุ ถนนเส้นประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นการสื่อสารไร้สายในประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์แทนความเจริญของกรุงเทพฯ ลงไปในผลงาน และยังวาด ‘ไอ้จุด’ คาแรคเตอร์สุนัขคู่ใจอันเป็นเอกลักษณ์ลงบนผลงานนี้ด้วยเช่นกัน

“ตามปกติเครื่องปั้นดินเผาจีนโบราณนิยมใช้ทิวทัศน์เป็นบันทึกเรื่องราวของสถานที่ ภูมิทัศน์ในช่วงเวลานั้น เมื่อเรากำลังนำสิ่งเหล่านี้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ก็เลยบันทึกเรื่องราวปัจจุบันของสถานที่แห่งนี้ลงไปด้วย ใส่ลวดลายที่ร่วมสมัยเข้าไป ให้เหมือนกับเวลาเราดูภาชนะเก่าก็พยายามหารายละเอียดที่คนโบราณใส่เข้ามาทั้งลูกเล่น ความรู้สึก ความสนุก ในรูปแบบที่ร่วมสมัย”

“เรารวบรวมสมมุติฐาน ความเป็นไปได้ และเทคนิค มาพิจารณาร่วมกันและจำลองลวดลายให้ออกมาสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง และแต่งเติมเข้าไปด้วย เช่น ทอง สมัยหนึ่งอาจจะใช้กับภาชนะในอีกระดับ แต่ก็อยากใช้ทองที่เป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง ความอลังการ หรืออีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่จะเกิดขึ้นกับพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง”

 

PintONE

 

ปิ่นโตทั้ง 8 ชั้น ล้วนมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง เช่น ลายซังฮี้ อักษรจีนที่สื่อความหมายว่าโชคสองชั้น โดดเด่นอยู่ท่ามกลางลวดลายก้านขด ลายอักษรโซ่ว หรือ ซิ่ว ที่แปลว่าอายุยืนและมักจะใช้วาดลงบนเครื่องลายคราม ไหน้ำปลาชิ้นสำคัญที่แกะลวดลายมาจากชิ้นส่วนวัสดุที่ขุดค้นพบ หรือลวดลายของดอกโบตั๋น ได้ถูกนำมาวางเรียงกันจนกลายเป็นปิ่นโตที่สมบูรณ์

“การแตกกิ่งก้านสาขา การสู้ลาย เป็นสิ่งที่เราชอบ ซึ่งทุกเส้นสายรวมถึงอักษรจีน ลายจีน หรือเบญจรงค์ ล้วนเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายถึงบางสิ่งบางอย่างเสมอ อีกลายที่ชอบก็คือลายขดซึ่งสื่อถึงความยั่งยืน หรือความอุดมสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ของความสงบสุข ความสมบูรณ์ และความมั่งมี การมีสิ่งเหล่านี้ได้ไม่รู้จบ เรามองว่ามันเป็นอุดมคติของการใช้ชีวิตของคนใดคนหนึ่งจริง ๆ”  

 

PintONE

04 องค์ประกอบที่ 5 ของเครื่องปั้นดินเผา

 

ดิน คือวัตถุดิบหลัก
น้ำ ผสมผสานเชื่อมต่อขึ้นรูป เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
ลม อากาศมีบทบาทในการอบแห้งและเผา ช่วยคลายความชื้น
ไฟ เผาดินเหนียวให้แข็งตัวและคงทนถาวร

ศิลปินถิ่นราชบุรี เล่าพร้อมรอยยิ้มเมื่อย้อนไปถึงความท้าทายหลายอย่างกว่าจะออกมาเป็น PintONE ที่สมบูรณ์ ปัจจัยหนึ่งที่ท้าทายมาก ๆ คือเรื่องของเทคนิค ที่แต่ละชิ้นมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยเฉพาะการทำสีเคลือบให้ออกมาคล้ายคลึงกับภาชนะที่ผลิตขึ้นมาเมื่อ 60 – 70 ปี ที่แล้ว หรือบางชิ้นมีอายุถึง 100 ปี นอกจากจะเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา ยังต้องขอให้โชคชะตาอยู่เคียงข้างกันด้วย

“แม้กระทั่งสีของไหน้ำปลาซึ่งเป็นเรื่องราว เป็นประวัติศาสตร์ของเถ้าฮงไถ่เองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในปัจจุบันเตาฟืนที่เคยใช้เผาโอ่งมังกรหรือไหน้ำปลา ไม่ได้ใช้อีกต่อไปแล้ว เราจึงต้องหาวิธีในการทำให้สีใกล้เคียงประวัติศาสตร์มากที่สุดด้วยเทคนิคและวัสดุของปัจจุบัน”

วศินบุรี อธิบายต่อว่าการผสมสีเซรามิก มีกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่เหมือนกับการผสมสีตามแบบที่เราคุ้นเคย จะนำสีน้ำเงินมาผสมกับแดงแล้วออกมาเป็นสีม่วง ขั้นตอนไม่ได้ง่ายแบบนั้น แต่มีเรื่องของการใช้ออกไซด์ โลหะ และวัตถุดิบอื่น ๆ เข้ามาผสมผสาน แม้กระทั่งสีก่อนกับหลังเผาก็แตกต่างกัน เป็นกระบวนการลองผิดลองถูกที่ต้องใช้เวลา

 

 

PintONE

 

“สีที่เราคิดว่าจะง่ายมากอย่าง สีฟ้า สีชมพู แต่เงื่อนไขของการใช้โลหะ สีเสตน หรือสีที่ทำเซรามิกในช่วงเวลานั้น ไม่ได้มีความใกล้เคียงกับเฉดที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน กว่าจะทำสีฟ้าทึบออกมาได้ต้องลองผิดลองถูกกว่า 20 ครั้ง ถึงจะออกมาใกล้เคียง เวลาจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก การทดลองสีครั้งหนึ่งใช้เวลารอถึง 3 – 4 วัน และไม่ใช่ว่าเห็นแล้วจะสามารถทำต่อได้เลยเพราะเตาเผาก็อาจจะไม่ว่างแล้ว หรือไม่ได้อยู่ในคิวของอุณหภูมินี้ก็ต้องรอไปอีก 2 – 3 อาทิตย์”
“สิ่งที่เป็นข้อจำกัดของการทำงานเครื่องปั้นดินเผาคือเวลา ถ้ามีกรอบเวลาให้ 3 เดือน ต้องออกแบบให้เสร็จตั้งแต่อาทิตย์แรก และงานทั้งหมด 8 ชิ้น ไม่ได้หมายความว่าทำแค่ 8 ชิ้น แล้วจะจบ หมายความว่าอาจจะต้องทำถึง 12 – 13 หรือ 14 ชิ้น เวลายิ่งจำกัดเราต้องทำเผื่อให้เยอะที่สุด เพราะอาจจะเกิดความเสียหายระหว่างทางด้วย”

องค์ประกอบที่ 5 ชะตากรรมและความบัญเอิญ

วศินบุรี บอกว่า การทำเครื่องปั้นดินเผาไม่ได้มี 4 องค์ประกอบ เพียง ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่องค์ประกอบที่ 5 ที่ว่าด้วยเรื่องชะตากรรมและความบังเอิญ เป็นส่วนสำคัญและจำเป็นมากในการทำงานศิลปะ

“พูดเหมือนเรื่องตลกนะแต่ว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ องค์ประกอบที่ 5 คือสิ่งที่ทำให้งานเซรามิกแตกต่าง ทุกชิ้นคือความแตกต่าง คือเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทุกชิ้นมีบางสิ่งบางอย่างเป็นเรื่องราวของการบันทึกช่วงเวลาหนึ่ง คำว่าชะตากรรมอาจจะเป็นคำพูดที่ดูไม่ดี แต่การเกิดขึ้นของสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสมอไป กลับเป็นการต่อยอดและขยายกรอบความเป็นไปได้ของวิธีคิดด้วยซ้ำไป”

 

PintONE

05 ผืนดินจินตนาการ

 

เกิดจากดิน เติบโตพร้อมกับดิน มีตัวตนและวิถีชีวิตที่ผูกพันกับดินมาโดยตลอด วศินบุรี ใช้ชีวิตอยู่ที่เถ้าฮงไถ่มาตั้งแต่เยาว์วัย ในสถานที่ซึ่งดินเป็นวัตถุดิบที่มีอย่างเหลือเฟือ ดินที่แต่เดิมเป็นเพียงของเล่น หยิบก้อนไร้รูปทรงมาขึ้นรูปเป็นลูกหิน ลองปั้นเป็นไดโนสาร์ ปรับเปลี่ยนไปตามจินตนาการ พอศิลปินเติบโตขึ้น สถานะความสัมพันธ์ของดินกับวศินบุรีก็เปลี่ยนไป

“พอเราทำงานศิลปะมากขึ้น ได้ใช้วัตถุดิบที่เป็นดินมากขึ้น ก็เกิดความรู้สึกว่าดินเป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นเรื่องราว เป็นความทรงจำ สำหรับเรามันเป็นวัตถุดิบที่รู้สึกว่าคุ้นเคย เป็นวัสดุที่รู้สึกว่าใช้งานถนัดที่สุด เป็นวัสดุที่มีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ ที่เราจะใช้จิตนาการใส่ลงไปกับวัสดุเหล่านี้และทำให้กลายเป็นจริงขึ้นมา”

แก้วเซรามิก จาน ชาม ภาชนะหลากหลายรูปแบบ อ่างล้างมือที่ดูยังไงก็รู้ว่าปั้นและเผาที่เถ้าฮงไถ่ ผนังเซรามิกหลากสีสัน โอ่งมังกรทั้งแบบดั้งเดิมและร่วมสมัย กำแพงที่ประกอบขึ้นมาจากการจัดเรียงเครื่องปั้นดินเผาน้อยใหญ่ ประติมากรรมหลากรูปทรง สีสันที่มากมาย สะท้อนคาแรคเตอร์ของศิลปินถิ่นราชบุรีออกมาอย่างเด่นชัด

“ต้องชิดกรอบและชิดขอบของความเป็นไปได้ให้มากที่สุด” คือหัวใจในการทำงานศิลปะของ วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์

ท่ามกลางภาชนะและประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาสีส้มอิฐที่เตรียมตัวเข้าเตาเผา ซึ่งเราแวะมาเยี่ยมเยียนและถือโอกาสพูดคุยกับวศินบุรีที่โรงงานเครื่องปั้นดินเผาเถ้าฮงไถ่ ก่อนบทสนทนาจะจบลง ศิลปินถือโอกาสนี้เชิญชวนให้ทุกคนมาชม PintONE และลองต่อยอดจินตนาการ ลองค้นหาขีดจำกัด และปะติดปะต่อเรื่องราวของตัวเองที่ เดอะ ไวร์เลส เฮาส์ วัน แบงค็อก

 

 

PintONE

 

“นอกจากชิ้นงานที่อยู่ในนั้นแล้ว เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โทรเลข และอีกมากมายที่สนุกสนานและสามารถนำมาต่อยอด กระทั่งลายอักษรของคนที่มาเขียนเล่น ๆ ลงบนกำแพงก็ได้บันทึกช่วงเวลา และกลายเป็นประวัติศาสตร์ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่บอกเราว่า บางสิ่งบางอย่างที่เราทำลงไปในช่วงเวลานี้ เราอาจจะไม่ได้มองเห็นความหมายหรือคุณค่าในสิ่งที่เราทำลงไปแต่ว่าวันใดวันหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของโลกทั้งใบก็เป็นได้”

“อยากให้ทุกคนได้มาดูและหาชิ้นส่วนองค์ประกอบของความทรงจำในพื้นที่นี้ แต่ละคนมีองค์ประกอบของความทรงจำที่ไม่เหมือนกัน อยากให้ลองนำจินตนาการของตนเองมาต่อยอด ถ้าสมมติว่าจากเงื่อนไขเดียวกัน ชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่ขุดเจอ อาจจะไม่ได้ทำมาเป็นปิ่นโต แต่จะต่อยอดออกมาเป็นอะไร เอาเรื่องราวเหล่านี้มาใช้เป็นความสนุก ใช้จินตนาการของเราสร้างออกมาให้เป็นความจริง”

รับชมผลงาน PintONE โดย วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ได้ที่ เดอะ ไวร์เลส เฮาส์ วัน แบงค็อก เปิดให้บริการทุกวันโดยไม่เก็บค่าเข้าชม ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น.

 

แท็ก

ศิลปะและวัฒนธรรม
วัน แบงค็อก

แชร์

ค้นหากิจกรรมและข้อมูลอื่นๆ ใน วัน แบงค็อก