26 ธ.ค. 2568
ในยุคปัจจุบัน การพัฒนาเมืองให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยแนวคิดเมืองในอนาคต ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย แต่ยังต้องตอบโจทย์การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและธรรมชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เมกะเทรนด์ที่กำหนดทิศทางเมืองในอนาคต
การที่เราจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งอนาคต จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงปัจจัยและเมกะเทรนด์ระดับโลกที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเมืองที่จะตอบโจทย์ในระยะยาว
1. การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ
ภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อการใช้ชีวิตในเมือง ดังนั้น การออกแบบเมืองในอนาคตจึงต้องคำนึงถึงการลดการปล่อยคาร์บอนและการสร้างสมดุลกับธรรมชาติ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ระบบจัดการน้ำฝน การใช้พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
2. เทคโนโลยีดิจิทัล
เทคโนโลยีจะกลายเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการเมือง โดยเมืองในอนาคตจะใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และระบบ AI ในการจัดการเมือง เช่น การควบคุมการจราจรอัจฉริยะและระบบพลังงานอัตโนมัติ
3. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและประชากร
โดยเมืองต้องปรับตัวเพื่อรองรับความหลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุ การย้ายถิ่นฐานของคนรุ่นใหม่ หรือความต้องการพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสร้างพื้นที่สาธารณะที่เข้าถึงได้ง่ายและเป็นมิตรกับทุกวัย จึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่มุ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง
4. เศรษฐกิจหมุนเวียน
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเมืองยั่งยืนในอนาคต โดยเน้นการลดของเสีย การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด การนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ (Recycle, Reuse, Reduce) ซึ่งการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐานโดยใช้หลักการนี้จะช่วยลดภาระต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
แนวทางการพัฒนาเมืองในอนาคต
เพื่อให้แนวคิดเมืองแห่งอนาคตเกิดขึ้นจริง การพัฒนาจะต้องครอบคลุมในหลายมิติ ดังนี้
1. การออกแบบที่ยั่งยืน
หัวใจของเมืองในอนาคต คือการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและผู้คนไปพร้อมกัน ทั้งในแง่พลังงาน การจัดการน้ำ รวมถึงคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย เมืองยุคใหม่จะต้องลดการใช้พลังงานฟอสซิลและหันมาใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม
2. การสร้างพื้นที่สีเขียว
เมืองที่ดีต้องมี “ปอดของเมือง” ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ทางเดินสีเขียว หรือพื้นที่กิจกรรม การเพิ่มพื้นที่สีเขียวไม่เพียงช่วยลดมลภาวะทางอากาศ แต่ยังช่วยให้เมืองเย็นลงและส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของประชาชน
3. ศูนย์รวมการใช้ชีวิต
เมืองแห่งอนาคต ไม่ควรเป็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่ง แต่ต้องเป็นศูนย์รวมชีวิตที่มีครบทั้งที่ทำงานและการพักผ่อน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตและสังสรรค์ได้อย่างสมดุล การรวมทุกอย่างไว้ด้วยกันจึงเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างเมืองที่เชื่อมโยงทุกมิติของชีวิตไว้ในที่เดียว เพื่อลดความจำเป็นในการเดินทาง ทำให้เกิดความสะดวกสบายและลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ต้องเคลื่อนย้ายการใช้ชีวิตจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่
4. การใช้เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการ
การนำเทคโนโลยี AI และ IoT มาใช้ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานของเมือง จะช่วยให้เมืองมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว เช่น การจัดการพลังงาน ระบบไฟจราจรอัจฉริยะ ระบบตรวจคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ระบบการเฝ้าระวังตัวชี้วัดทางสภาพแวดล้อม หรือแม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติ เพื่อให้เมืองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
วัน แบงค็อก (One Bangkok) ศูนย์รวมการใช้ชีวิตในเมืองแห่งอนาคต
วัน แบงค็อก (One Bangkok) เป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองในอนาคตที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการผสมผสานพื้นที่สีเขียว สถาปัตยกรรมล้ำสมัย เข้ากับเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ยังสร้างบรรยากาศที่เชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ
พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่
โดย วัน แบงค็อก (One Bangkok) มุ่งมั่นที่จะมอบอากาศบริสุทธิ์และพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจให้แก่คนเมือง โดยมีการจัดสรรพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่งมากกว่า 50 ไร่ใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อให้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 สวนสาธารณะขนาดใหญ่ อย่างสวนลุมพินีและสวนเบญจกิติ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นปอดผืนใหญ่ที่ทุกคนสามารถเข้ามาทำกิจกรรม และใช้เวลาร่วมกันได้อย่างมีความสุข
การออกแบบเพื่อความยั่งยืน
ทุกอาคารใน วัน แบงค็อก (One Bangkok) ได้รับการรับรอง LEED ND (LEED for Neighborhood Development) ระดับ Platinum ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกด้านความยั่งยืน ภายใต้ 3 หมวดหมู่
ทำเลและการเชื่อมต่อ โดยมอบการเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า MRT, รถประจำทางสาธารณะ, และ EV Shuttle Serviceไปยังสถานี BTS
การออกแบบพื้นที่โดยรอบ โดยออกแบบเมืองที่สามารถเดินได้อย่างสะดวกสบายและใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีทางเดินเท้าระยะทางยาวกว่า 5 กิโลเมตร ที่ร่มรื่น สะดวกสบาย สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
อาคารและโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว โดยสร้างทุกอาคารขึ้นตามมาตรฐานการประหยัดพลังงานและน้ำ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพอาคารสีเขียว (Green Building) ด้วยการสร้างระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์และระบบบำบัดน้ำเสียเเพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เทคโนโลยีอัจฉริยะเหนือระดับ
วัน แบงค็อก (One Bangkok) ได้รับการรับรองโดยมาตรฐาน WiredScore and SmartScore for Neighborhood โดย WiredScore คือระบบรับรองมาตรฐานอาคารระดับโลก ที่ประเมินคุณภาพอาคารจากโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและความสามารถในการเชื่อมต่อระบบดิจิทัล ขณะที่ SmartScore คือระบบรับรองมาตรฐานอาคารระดับโลกที่ประเมินคุณสมบัติของอาคารในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะขั้นสูงมาใช้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการให้บริการเชื่อมต่อดิจิทัลที่ดีที่สุด เช่น
ระบบเชื่อมต่อดิจิทัลประสิทธิภาพสูง โดยติดตั้งโครงข่ายการสื่อสารที่ครอบคลุมทั้งสัญญาณมือถือและ Wi-Fi ความเร็วสูง ทำสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่
ระบบความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ โดยมีระบบตรวจสอบและบันทึกข้อมูลแบบทันที ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ระบบจราจรอัจฉริยะ โดยมีระบบจัดการจราจรที่ช่วยให้การเดินทางเข้า-ออกพื้นที่เป็นไปอย่างราบรื่น ลดปัญหาการจราจรติดขัด
วัน แบงค็อก (One Bangkok) ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายและการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่ยังสร้างบรรยากาศที่เชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับธรรมชาติ ทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้ชีวิตที่นี่สามารถสัมผัสถึงความสมดุลและความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
เมืองแห่งอนาคต ไม่ใช่แนวคิดที่อยู่ไกลตัวอีกต่อไป แต่ได้เกิดขึ้นแล้วใจกลางกรุงเทพฯ สำรวจเมืองกลางใจที่ผสานการใช้ชีวิตอย่างสมดุล พร้อมสร้างแรงบันดาลใจของเมืองอัจฉริยะ ได้ที่ วัน แบงค็อก (One Bangkok)
แท็ก
แชร์